เกมจบแต่ “บานาน่าแลนด์” ยังไปต่อ : อีกก้าวขั้นของธุรกิจ SE หลังจบรายการ Win Win WAR Thailand

“เกมจบ แต่บานาน่าแลนด์ยังไปต่อ” นั่นคือเสียงเล็กๆที่เอ่ยผ่านใบหน้าเปื้อนยิ้มของคุณบั้ม – ลักขณา แสนบุ่งค้อ สาวร่างเล็กผู้มีพลังเหลือล้น เธอเข้ารอบเป็น 1 ใน 5 ทีมสุดท้าย จากรายการ WIN WIN WAR Thailand ซีซั่นแรก และนี่ก็เป็นเสมือนคำต้อนรับเมื่อทีมงานเดินทางไปถึงบ้านเกิดของเธอในจังหวัดเลย สถานที่ที่มีชื่อเรียกว่า “บานาน่าแลนด์”
ที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรที่หญิงสาวร่างเล็กคนนี้เป็นผู้ปลุกปั้นขึ้นมาจากน้ำพักน้ำแรงของเธอเอง ด้วยพลังอันล้นเหลือที่ผุดมาพร้อมกับไอเดียมากมายที่พร้อมสานต่อหลังจากได้ร่วมรายการนี้ ทำให้ที่ดินเปล่าผืนนี้ได้รับการเติมเต็มขึ้นมาอีกสเต็ป หากยังมีอีกหลายไอเดียที่ซุกซ่อนอยู่ในความคิดของเธอ
จากที่ดินเปล่าซึ่งเดิมทีเป็นเพียงทุ่งนาที่ภาพความสวยงามแปรเปลี่ยนไปตามฤดูกาล วิวเบื้องหน้านำสายตาสู่ภูหอ ภูเขาที่มีรูปลักษณ์แปลกตา มองดูคล้ายเป็นกับ งอบ หรือหมวกของชาวอีสานที่เป็นเครื่องแบบแดดลมฝนในตอนทำสวนทำนา ฝั่งขวากั้นขอบฟ้ากับผืนนาด้วยสันเขาภูหลวง บานาน่าแลนด์จึงคล้ายกับเป็นแอ่งระหว่างเทือกเขาทั้งสอง ซึ่งเป็นผลดีทำให้ที่แห่งนี้ยังคงความสดชื่นด้วยอากาศที่ปลอดโปร่ง มีลมพัดผ่านตลอดปี และมีอากาศเย็นสบายแม้จะเป็นช่วงฤดูร้อนที่อุณหภูมิในตอนกลางวันอาจระอุขึ้นไปถึง 35 องศาเซลเซียส แต่ในตอนกลางคืนอุณหภูมิจะเหลือเพียง 18 องศาเซลเซียสเท่านั้น ฤดูฝนกับฤดูหนาวจึงถือว่าเป็นช่วงที่งดงามที่สุดของที่นี่

จุดเริ่มต้น Banana Land ภาคต่อของ Banana Family

“บานาน่าแลนด์เริ่มขึ้นตอนไปแข่งรายการ Win Win WAR Thailand ก่อนหน้านี้ก็คิดไว้ว่าอยากสร้างสถานที่สักแห่งไว้เป็นที่รองรับนักท่องเที่ยว พี่เจ (คุณเจรมัย พิทักษ์วงศ์ หนึ่งในคณะกรรมการของรายการ) บอกว่าให้เริ่มเลย เพราะขนมกล้วยของเราเริ่มลงตัวแล้ว ด้วยพื้นฐานที่ตัวเองเป็นคนชอบป่า ชอบทำเกษตร พอเริ่มทำบานาน่าแลนด์ก็ต้องยอมรับว่าเราไม่ได้เก่งเรื่องแลนด์สเคป จึงต้องค่อยๆ ทำไป เริ่มจากสะพานไม้ที่เราเรียกกันว่า ‘สะพานดาว’ เป็นจุดชมวิวที่เกิดจากการร่วมมือร่วมใจของชุมชน เพื่อสร้างเป็นแหล่งท่องเที่ยวเล็กๆในอำเภอภูหลวง” สะพานดาวเป็นเหมือนหมุดหมายที่คนต่างถิ่นต้องมาเยือน โดยออกแบบเป็นสะพานไม้ไผ่ที่ทอดยาวเป็นทางเดินกลางทุ่งนา ขนานไปกับวิวภูหอที่กลายเป็นฉากหลังอันงดงาม และไหนๆเมื่อมาถึงบานาน่าแลนด์แล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้คือ “ต้นกล้วย” ซึ่งมีทั้งที่ปลูกใหม่และของเดิมที่ปลูกมาก่อนหน้านี้

เรื่องกล้วยๆที่ไม่กล้วย และเป็นมากกว่ากล้วย

“ที่นี่จะปลูกกล้วยน้ำว้ากัน นอกจากใช้เป็นวัตถุดิบทำขนมแล้วยังแปรรูปเป็นอย่างอื่นได้เยอะด้วย คือกล้วยหนึ่งต้น หลังจากที่เราเอาผลกล้วยไปทำขนม ส่วนอื่นๆก็จะนำมาทำงานคราฟต์ อย่างกาบกล้วยที่คิดไว้คือจะทำเป็นสมุดทำมือ ก็เลยตั้งใจสร้างเถียงนาน้อยๆขึ้นมา แต่ตอนนี้ยังไม่สมบูรณ์ เพื่อใช้เป็นสถานที่ทำเวิร์คชอปการทำสมุดจากกาบกล้วย สอนวาดรูปจากยางกล้วย เราพบว่ายางกล้วยสามารถใช้เป็นหมึกได้โดยไม่ต้องผ่านการต้มใดๆ ทั้งสิ้น เหตุเกิดจากเสื้อเราเปื้อนยางกล้วยแล้วซักไม่ออก ก็เลยรู้สึกว่ายางกล้วยมีคุณลักษณะพิเศษ ถ้าเรานำมาเพ้นต์เสื้อ เมื่อยางแห้งก็จะได้สีน้ำตาลเข้มสวย นอกจากนี้ยังมีการทำอาหารจากกล้วยที่ปลูกในสวนของเราด้วย”

ปลูกผักแบบสัมมะปิ เรียกรู้จากปราชญ์ท้องถิ่น

หากอยากเที่ยวแบบเข้าถึงวิถีชีวิตของเกษตรกรอย่างแท้จริง อาหารมื้อเย็นของที่นี่ก็สามารถบอกเล่าความเป็นไปได้เป็นอย่างดี เช่นเดียวกับพื้นที่รอบเพิงไม้ที่คุณบั้มเรียกว่า “เถียงนาน้อย” กับการทำเกษตรแบบพึ่งพา ปลูกผักสวนครัวแบบผสมผสาน “ผักในสวนเราปลูกแบบสัมมะปิ หมายถึง ปลูกแบบมั่วๆ (หัวเราะ) ก็เป็นการปลูกแบบผสมผสานกัน ไม่ได้มีการแบ่งโซนชัดๆ เพื่อให้ผักแต่ละชนิดมีระบบนิเวศพึ่งพากัน อย่างริมสระน้ำเราจะปลูกไม้ยืนต้นเพื่อช่วยอุ้มดินริมตลิ่ง แต่ตอนนี้ต้นยังมีขนาดเล็กอยู่ มีผักที่ปลูกผสมๆกันทั้งในระดับสูง กลาง ต่ำ เพื่อว่าหากมีแมลงหรือเพลี้ยลง มันก็จะกินไปทีละต้นพอต้นข้างๆเป็นอีกชนิดมันก็จะไม่กิน เพราะเป็นพืชต่างชนิดกัน ซึ่งเป็นวิธีไล่แมลงแบบธรรมชาติ ส่วนที่ปลูกไม้ดอกแซมด้วย ก็เป็นการหลอกผีเสื้อให้มาดูดน้ำหวานแล้วมาผสมเกสรให้ต้นผักที่อยู่ใกล้ๆ เราก็จะได้เมล็ดผัก
“กว่าจะรู้เรื่องเกษตรเหล่านี้เราต้องเรียนเพิ่มค่ะ ตอนเด็กชอบปลูก ชอบถาม เรียนรู้จากคุณพ่อ และได้ไปศึกษาเพิ่มอีกทีก็หลังปี 2550 ซึ่งได้เป็นสมาชิก อสพ. หรืออาสาพัฒนา รุ่นรักบ้านเกิด ที่จัดตั้งโดยกระทรวงมหาดไทย ทำให้ได้พบปราชญ์ชาวบ้านบ่อยๆ เราก็จะชอบถาม รู้สึกว่าความรู้ต่างๆ เหล่านี้เป็นสิ่งที่ควรจะส่งต่อให้คนรุ่นต่อไป เราชอบถามคำถามกับผู้เฒ่าผู้แก่ แต่ก็ยังมีบางเรื่องที่คาใจ อย่างการปลูกต้นไม้ในวันดับกับวันไม่ดับ ซึ่งเป็นความเชื่อที่เรางงมากและอยากหาคำตอบว่าทำไมปลูกต้นไม้วันพุธไม่ได้ ไหนจะเรื่องคนมือร้อนมือเย็น อันนี้เราค้นพบว่าคนมือร้อนคือคนที่ไม่ตั้งใจดูแลต้นไม้ต่างหาก” และเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสวิถีเกษตรอย่างเต็มรูปแบบที่นี้ยังมีกิจกรรมทดลอง ดำนาข้าว ด้วยตัวเองได้ ในช่วงเดือนกรกฎาคม ถึง ตุลาคม ซึ่งเป็นฤดูท่องเที่ยวแบบเต็มรูปแบบของที่นี่

For Fang For Fun เรื่องสนุกแบบมีสาระของงานศิลปะแบบบ้านๆ

แม้ว่าบานาน่าแลนด์จะเพิ่งเริ่มตั้งไข่ในเวลาแค่ไม่กี่เดือน แต่ยังคงมีการจัดกิจกรรมต่างๆขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างโครงการ For Fang For Fun ก็เป็นความร่วมมือจากชุมชนเกษตรกรเพื่อรณรงค์ไม่ให้เผาฟางข้าวที่มักเกิดขึ้นหลังฤดูเก็บเกี่ยว การเผาฟางนี้เป็นต้นเหตุของปัญหาฝุ่นควันและทำให้ดินเสียคุณภาพ และส่งผลกระทบต่อพื้นที่อำเภอภูหลวงโดยตรง เนื่องจากทำเลเป็นเหมือนแอ่งตรงกลางระหว่างภูเขา ควันไฟ ฝุ่นละอองต่างๆจึงมักสะสมอยู่ในบริเวณนี้ ปัญหานี้เกิดขึ้นทุกปี จนคุณบั้มมองว่าควรมีกิจกรรมอะไรสักอย่างที่ใช้ฟางข้าวจากท้องนามาเป็นกุญแจในการสร้างสรรค์ และนั่นคือที่มาของโปรเจ็กต์นี้ โดยกิจกรรมที่จัดขึ้นจะมีหลายรูปแบบ เริ่มจากการสร้างปราสาทฟางกลางทุ่งนาให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สามารถเข้ามาถ่ายภาพและชมภาพศิลปะผลงานของเด็กๆที่มาจากการประกวดวาดภาพที่เคยจัดไปก่อนหน้านี้ โดยโครงการ For Fang For Fun จะจัดขึ้นในช่วงเดือนเมษายน 2562 เก็บค่าเข้าชมงานเพียงท่านละ 20 บาทเท่านั้น
ขอขอบคุณบทความดีๆ จาก: www.baanlaesuan.com
Related Posts
Leave a Reply